เพียเจต์ ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง "คนเราคิดได้อย่างไร" เรียนรู้ที่จะคิดแก้ปัญหาได้อย่างไร ซึ่งพบว่าผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้ได้เมื่อเผชิญประสบการณ์ และประสบการณ์อย่างหลากหลายจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น การเรียนรู้โดยการเผชิญประสบการณ์หมายถึง ผู้เรียนจะต้องมี
ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุ สิ่งของ ปรากฏการณ์หรือปัญหาต่างๆ แล้วสามารถใช้ความคิดของตนเองจัดกระทำ แก้ปัญหาเหล่านั้นได้โดยใช้
โครงสร้างสติปัญญาหรือโครงสร้างความรู้ ซึ่งหมายถึง เครื่องมือหรือโปรแกรมทางสติปัญญาที่ช่วยให้คิดแก้ปัญหาได้ ที่อาจมีอยู่แล้วหรือสร้างขึ้นใหม่เพื่อ
ปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า การดูดกลืนและการปรับให้เหมาะหรือการปรุงแต่ง (assimilation andaccommodation) นอกจากนี้ เพียเจต์ยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับลักษณะความสามารถทางสติปัญญาของวัยรุ่นไว้ดังนี้
(Inhelder and Piaget, 1958 อ้างถึงใน กิ่งฟ้า สินธุวงษ์, 2537)
1) มีความคิดยึดหยุ่น เพราะมีความสามารถในการคิดได้หลายทาง มองปรากฏการณ์ได้หลายแง่มุม
2) ไม่สับสนต่อเรื่องที่มีหลายตัวแปร เพราะมองเห็นแนวทางของการเกิดปรากฏการณ์หรือปัญหาได้หลายลักษณะ
3) สามารถคิดแปรกลับไปมาได้ คิดย้อนไปยังเรื่องราวแต่หนหลัง เพื่อมาใช้เป็นพื้นฐานประกอบกับการแก้ปัญหาได้
4) มีพัฒนาการของความคิดเป็นระบบ สามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปผลของสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทดสอบหรือทดลองได้อย่างสอดคล้องกัน
2. แนวคิดการเรียนรู้ของแอทคินสันและซิฟฟริน
แอทคินสันและซิฟฟริน (Atkinson and Shiffrin) ได้เสนอรูปแบบกระบวนการเรียรู้ที่แสดงองค์ประกอบของความจำ 3 ส่วนคือ
1) การรับรู้โดยใช้ประสาทสัมผัส
2)การเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำระยะสั้น
3)การเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำระยะยาว
ซึ่งแสดงไว้ในรูปที่ 1 ว่ากระบวนการเรียนรู้เริ่มจากการรับข้อมูลแล้วเก็บฝังไว้ในหน่วยของความจำทั้ง 2 แบบได้อย่างง่ายๆได้อย่างไร
(Vander Zanden and Pace,1984 อ้างถึง กิ่งฟ้า สินธุวงษ์, 2537)
รูปแบบการเรียนรู้ของแอทคินสันและซิฟฟริน ช่วยเสริมความเข้าใจในการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดจากการมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและความรู้ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยใช้ความคิดและการกระทำเป็นพฤติกรรมที่สังกตได้ การเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรก็ตาม จะประกอบด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกตัวผู้เรียน เช่น สิ่งเร้าต่างๆที่มากระตุ้นผู้เรียน การตอบสนองของผู้เรียนที่แสดงออกมา ฯลฯ และสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียน สำหรับกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนนั้น เกิดอยู่ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเรียกกระบวนการภายในทั้งหมดนี้ว่า กระบวนการเรียนรู้ (process of learning)
3.ลำดับขั้นตอนของการเรียนรู้
กาเย่ได้เสนอลำดับขั้นตอนของการเรียนรู้ตามระยะเวลา ไว้ 8 ขั้นตอนดังต่อไปนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกตัวผู้เรียน เช่น สิ่งเร้าต่างๆที่มากระตุ้นผู้เรียน การตอบสนองของผู้เรียนที่แสดงออกมา ฯลฯ และสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียน สำหรับกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนนั้น เกิดอยู่ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเรียกกระบวนการภายในทั้งหมดนี้ว่า กระบวนการเรียนรู้ (process of learning)
3.ลำดับขั้นตอนของการเรียนรู้
กาเย่ได้เสนอลำดับขั้นตอนของการเรียนรู้ตามระยะเวลา ไว้ 8 ขั้นตอนดังต่อไปนี้
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ผู้เรียนต้องถูกกระตุ้นให้มีแรงจูงใจที่จะเรียนเสียก่อน เพราะพฤติกรรมที่มีแรงจูงใจอยู่เบื้องหลัง เป็นพฤติกรรมที่มีพลังและทิศทางไป
สู่เป้าหมายที่แน่นอน กระบวนการภายในตัวผู้เรียนที่เกิดขึ้นในระยะนี้คือ ความคาดหวัง ผู้เรียนอาจคาดหวังว่าตนต้องการบรรลุเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง และ
การบรรลุเป้าหมายจะเปรียบเสมือนการได้รับรางวัล หรือบางครั้งผู้เรียนอาจคาดหวังว่า ตนจะได้รับอะไรเป็นรางวัลหลังจากที่ได้พยายามเรียนรู้จนบรรลุเป้าหมายของการสอนที่กำหนดไว้ในการจัดการเรียนการสอนบทบาทของผู้สอนในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ในระยะนี้ก็คือ ผู้สอนควรบอกให้ผู้เรียนทราบถึงจุดประสงค์ของการสอน อธิบายให้ผู้เรียนทราบว่าสิ่งที่เรียนมีคุณค่า และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
ระยที่ 2 การจับใจความ
หลังจากถูกกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจแล้ว ระยะต่อมาคือการรับรู้สิ่งเร้าต่างๆในสถานการณ์การเรียนการสอน เข้าไปในโครงสร้างต่างๆ และเก็บไว้ในระบบความจำต่อไป กระบวนการภายในตัวผู้เรียนที่เกิดขึ้นในระยะนี้ก็คือ การใส่ใจ และการเลือกรับรู้ เนื่องจากในสถานการณ์การเรียนรู้มีสิ่งเร้าต่างๆมากมาย แต่ผู้เรียนจะต้อง
เลือกให้ความใส่ใจและรับรู้เฉพาะสิ่งเร้าที่เกี่ยวกับเป้าหมายในการเรียนรู้เท่านั้นในการจัดการเรียนการสอนความใส่ใจและการเลือกรับรู้อาจเกิดได้จาก
1)การเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าในทันทีทันใด
2)ตัวหนังสือที่ใช้สอนอาจทำให้เกิดความใส่ใจและถูกรับรู้ได้โดยการใช้ตัวพิมพ์หลายขนาด การขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญหรือการใช้รูปภาพประกอบ
3)ผู้สอนเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อความใส่ใจของผู้เรียนมาก
การเปลี่ยนระดับเสียง การเคลื่อนไหวของมือและศีรษะของผู้สอนจะช่วยความใส่ใจของผู้เรียนได้มาก ในกรณีผู้เรียนที่เป็นเด็กเล็กๆ ความใส่ใจในสิ่งที่จะเรียนมักเกิดจากคำสั่ง หรือคำพูดของผู้สอนโดยตรง อย่างไรก็ตามกระบวนการเรียนรู้ในระยะนี้ เป็นเรื่องที่ควบคุมโดยตัวผู้เรียนเอง สำหรับเด็กโตๆหรือผู้เรียนที่มีประสบการณ์ความใส่ใจและการเลือกรับรู้จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ
ระยะที่ 3 การทำให้เกิดความเข้าใจ
ระยะนี้ต่อจากการรับรู้สิ่งเร้าของผู้เรียน สิ่งที่ผู้เรียนได้รับรู้จะถูกเข้ารหัส เพื่อเก็บไว้ในระบบความจำต่อไป กระบวนการภายในตัวผู้เรียนที่เกิดขึ้นในระยะนี้ คือ การเข้ารหัส ซึ่งหมายถึง การแปลงรูปข้อมูลที่รับรู้ให้อยู่ในลักษณะที่ง่ายต่อการเก็บไว้ในระบบความจำ ผู้เรียนจะจำได้แม่นยำถ้ามีการจัดระบบข้อมูลไว้เป็นหมวดหมู่
หรือเป็นประเภทตามการเรียนรู้เดิมในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนอาจจัดสิ่งเร้าภายนอกเพื่อช่วยส่งเสริมการเข้ารหัสโดย
1)การบอกข้อความสำคัญๆให้เช่น บอกคำนิยาม คำอธิบาย กฎหรือหลักการให้ผู้เรียนจดบันทึกไว้
2)บอกเทคนิคการจำให้ เช่น บอกสูตร บอกวิธีเข้ารหัส เปรียบเทียบความเหมือน หรือความแตกต่างของสิ่งที่เรียน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการชี้แนะเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้ารหัส และจดจำสิ่งที่เรียนไว้ในระบบความจำได้ก็ตาม แต่บางครั้งผู้เรียนอาจใช้วิธีการของตนเองก็ได้ ซึ่งจัดว่ามีประสิทธิภาพดีกว่าวิธีที่ผู้อื่นแนะนำ
ะยะที่ 4 การคงไว้ซึ่งความเข้าใจ
ระยะนี้เป็นการเก็บบันทึกข้อมูล ที่ได้จากการเข้ารหัสไปเก็บไว้ในระบบความจำระยะยาว ของสมองต่อไป ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1)สิ่งที่เรียนรู้ไปแล้วสามารถเก็บบันทึกไว้ได้อย่างค่อนข้างถาวร
2)เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เรียนรู้บางอย่างจะค่อยๆเลือนหายไปถ้าหากไม่ได้ใช้หรือทบทวนบ่อยๆ
3)สิ่งที่เรียนรู้ไปแล้วอาจถูกรบกวนโดยการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ระยะที่ 5 การระลึกได้
การระลึกได้เป็นระยะที่สิ่งเรียนรู้ที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในความจำ ถูกดึงออกมาเพื่อแสดงให้เห็นเป็นพฤติกรรมว่าได้เรียนรู้แล้ว กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในระยะนี้เรียนว่า การถอดรหัส (retrieval) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ บางครั้งต้องอาศัยตัวแนะ (cues) ที่เป็นการบอกของผู้สอนหรือตัวแนะภายในตัวผู้เรียนเอง โดยมีการ
เข้ารหัสในตอนเรียนเป็นตัวแนะในการถอดรหัส เช่นเดียวกับการเข้ารหัส ผู้เรียนที่มีประสบการณ์จะมีวิธีการและใช้ตัวแนะในการถอดรหัสที่เป็นตัวของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนอาจช่วยสิ่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ในขั้นนี้ โดย
1)การบอกวิธีถอดรหัสให้
2)เสนอตัวแนะที่เหมาะสมให้กับผู้เรียน เพื่อช่วยในการถอดรหัส
ระยะที่ 6 การประยุกต์ใช้
ในการจัดการเรียนการสอนนั้น มักต้องการให้ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจหลักการ ตลอดจนสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ มิใช่เพียงแค่รู้เฉพาะเนื้อหาในตำราเท่านั้น การถอดรหัสหรือการดึงเอาสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ หรือนำออกมาใช้ ซึ่งบางครั้งไม่จำเป็นต้องเหมือนกับสถานการณ์ตอนที่เรียนครั้งแรกเสมอไปดังนั้น กระบวนการเรียนรู้ จึงต้องรวมเอาระยะที่ผู้เรียนสามารถดึงเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว ออกมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ใหม่ๆเข้าไว้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ในระยะนี้เรียกว่า การถ่ายโยงการเรียนรู้ (transfer of learning) จากการวิจัยพบว่าผู้เรียนจะสามารถถ่ายโยงการเรียนรู้ได้ดี ถ้ามีความรู้และเข้าใจหลักการหรือกฎนั้นๆได้อย่างถูกต้องแม่นยำ การจัดการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้นั้น อาจกระทำได้โดย
1).ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และสามารถสรุปเป็นมโนมติด้วยตนเอง
2)ข้อสรุปนั้นควรสามารถนำไปใช้เป็นหลักการกว้างๆที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์อื่นได้
3)การสอนควรเน้นเรื่องความเข้าใจเป็นสำคัญ
4)ควรมีการฝึกฝนหรือฝึกทักษะเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เรียนรู้เหล่านั้นเสมอ
5) การฝึกเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสนำไปใช้เป็นสิ่งจำเป็นด้วย
ระยะที่ 7 การกระทำหรือแสดงพฤติกรรม
ระยะนี้เป็นระยะที่แสดงผลลัพธ์ของการเรียนรู้ เป็นระยะที่ผู้เรียนแสดงการตอบสนองที่เป็นผลจากการเรียนรู้ออกมา (responding) สำหรับคำถามที่ว่า ผู้เรียนจะต้องแสดงพฤติกรรมออกมาเท่าใด จึงจะถือว่าเกิดการเรียนรู้นั้น ไม่มีคำตอบที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับชนิดของการเรียนรู้แต่ละประเภท แต่ในการจัดการเรียนการสอน
ทั่วๆไป การแสดงการตอบสนองเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะถือได้ว่าเกิดการเรียนรู้ขึ้นแล้วผู้สอนสามารถส่งเสริมกระบวนการของการเรียนรู้ในระยะนี้ได้โดยการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน การตั้งประเด็นคำถามให้ผู้เรียนตอบ และการให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกฝนหรือทำแบบฝึกหัด เป็นต้น
ระยะที่ 8 การให้ข้อมูลย้อนกลับ
ระยะนี้เป็นระยะสุดท้ายของกระบวนการเรียนรู้ หลังจากผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ผู้เรียนจะรับรู้ว่าได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว และได้รับรางวัลตามที่คาดหวังไว้ในระยะที่ 1 ในลักษณะเช่นนี้กระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนซึ่งเป็นกระบวนการของการเรียนรู้ขั้นสุดท้ายก็คือ การได้รับการเสริมแรง
(reinforcement)ในบางกรณีการได้รับข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ได้แสดงออกไป อาจเกิดจากเหตุการณ์ภายนอกตัวผู้เรียนก็เป็นได้ ดังนั้น ในสถานการณ์การเรียนการสอน ผู้สอนอาจทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อเป็นการเสริมแรงพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้คือ
1)การยกย่องชมเชย เมื่อผู้เรียนมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์
2)การวิจารณ์พฤติกรรม หรือผลงานของผู้เรียน โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งในทางจิตวิทยาถือว่าการที่ผู้เรียนได้รับรู้ความก้าวหน้าของผลงานของตนเองนั้นเป็นการเสริมแรงอย่างหนึ่ง ดังนั้น เมื่อผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรม ผู้สอนต้องมีการตอบสนองให้ผู้เรียนได้รับรู้ว่า พฤติกรรของตนนั้นเป็นอย่างไรถูกต้องมากน้อยเพียงใด
กระบวนการเรียนรู้ทั้ง 8 ขั้น แสดงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียน ซึ่งก่อให้เกิดกระบวนการเรียนการสอนหรือเหตุการณ์ในชั้นเรียน (event of instruction) 9 ชนิด หรือเทคนิคกระบวนการสอน 9 อย่าง ที่ผู้สอนควรนำไปใช้ในการวางแผน จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างสอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้
4.การจัดสภาพการณ์การเรียนรู้ (Condition of Learning)
Robert Gagne และ Leslie Briggs ได้เสนอหลักการของการจัดการเรียนการสอนทำให้เห็นภาพรวมของปัจจัยสำคัญที่มีต่อการเรียนการสอน ในลักษณะของการจัดสภาพการเรียนรู้ (condition of learning) ที่ต้องอาศัยความรู้ในเรื่องต่างๆดังนี้
1) ประเภทของการเรียนรู้
2) การจัดลำดับขั้นของการเรียนรู้
3) กระบวนการเรียนการสอนที่มีพฤติกรรม 9 ชนิด
4) การจัดสภาพการเรียนรู้ที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยภายนอกและภายในของผู้เรียน
5) ความสามารถที่สอนได้ 5 ชนิด
6) การวิเคราะห์งานการเรียนรู้
การจัดสภาพการณ์ การเรียนรู้ (Condition of learning) หมายถึง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้รวมทั้งบรรยกาศในการเรียนรู้ซึ่งครอบคลุมทั้งกิจกรรม และวิธีดำเนินการกิจกรรมด้วย ที่ต้องอาศัยความรู้เรื่องต่างๆดังนี้
1) ประเภทการเรียนรู้ 8 ชนิด Gagne นักจิตวิทยาและนักการศึกษา ได้จำแนกประเภทของการเรียนรู้ไว้ 8 ชนิดดังต่อไปนี้
1. การเรียนรู้โดยสัญญาณ (signal learning)
2. การเรียนรู้โดยการใช้เครื่องล่อ (stimulus – response learning)
3. การเรียนรู้แบบลูกโซ่ (chain learning)
4. การเรียนรู้โดยใช้ภาษาอย่างต่อเนื่อง (verbal association)
5. การเรียนรู้โดยการจำแนก (discrimination)
6. การเรียนรู้มโนมติ (concept learning)
7. การเรียนรู้กฎ และหลักการ (principle learning)
8. การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา (problem solving)
การทราบลำดับขั้นการเรียนรู้เป็นประโยชน์สำหรับไปจัดการเรียนการสอนเพื่อมุ่งให้เกิดการเรียนรู้ตามลำดับต่อไป
2) การจัด ลำดับขั้นการเรียนรู้ (Hierarchy of learning)Gagne เชื่อว่า การเรียนรู้มีลำดับขั้น, หากผู้เรียน เรียนจนเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่งของประเภทการเรียนรู้แล้ว ก็พร้อมที่จะเรียนในขั้นต่อไป, ลำดับขั้นการเรียนรู้มีดังต่อไปนี้
3) กระบวนการเรียนการสอนที่มีพฤติกรรม 9 ชนิด
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในชั้นเรียน ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน เหตุการณ์ดังกล่าว ไม่จำเป็นเกิดเรียงเป็นลำดับ อาจสลับกันได้ หรืออาจเกิดขึ้นซ้ำกันได้
1) การเรียกความสนใจเพื่อให้ผู้เรียนพร้อมที่จะเรียน โดยการเลือกใช้สิ่งเร้า ซึ่งได้แก่ รูปภาพ แถบเสียง สถานะการณ์จำลองฯลฯ เพื่อเรียกความสนใจ
2) การบอกให้ผู้เรียนรู้จุดประสงค์เพื่อให้ทั้งผู้เรียนและผู้สอนรู้จุดหมายปลายทางของการเรียนการสอน และใช้เป็นแนวทางนำไปสู่จุดหมายเดียวกันได้ การบอกจุดประสงค์ อาจบอกตรงๆ บอกโดยใช้คำถาม หรือบอกโดยการแสดง หรือสาธิตประกอบ
3) การเร้าให้ผู้เรียนระลึกถึงการเรียนรู้ที่จำเป็นต้องมีมาก่อนการเร้าอาจใช้วิธีถาม หรือบรรยายเพื่อทบทวนความรู้เดิม ให้นักเรียนระลึกถึงสิ่งที่เรียนมาแล้ว นำ
ความรู้นั้นไปเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ เตรียมพร้อมที่จะเรียนต่อไป
4) การนำเสนอสิ่งเร้าสิ่งเร้าในที่นี้หมายถึง สิ่งเร้าที่ใช้ประกอบการสอน ซึ่งอาจมีลักษณะต่างๆกันได้แก่ วัสดุอุปกรณ์และสื่อการสอนต่างๆ การนำเสนอสิ่งเร้าควรคำนึงถึง จังหวะ ช่วงเวลา และลำดับขั้นตอนของการนำเสนอรวมทั้งการตอบสนองของผู้เรียนด้วย
5) การชี้แนะการเรียนรู้การชี้แนะการเรียนรู้ในการสอนได้แก่ การใช้คำ ถามนำ ไปสู่การเรียนรู้ การใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบการสาธิต และการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเรียนรู้
6) การทำให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมผู้สอนต้องกระตุ้น และจัดสภาพการณ์ให้ผู้เรียนมีพฤติกรรมสนองตอบ เป็นการจัดเตรียมเครื่องมือให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ
การทดลอง การถาม การให้ทำแบบฝึกหัด เป็นต้น
7) การเฉลยผลการกระทำของผู้เรียนทันทีเป็นการตอบสนองให้นักเรียนทราบว่า พฤติกรรมที่นักเรียนนั้นแสดง ผิดหรือถูก ต้องแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพื่อให้ผู้เรียน เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ถือเป็นการ Reinforcement อย่างหนึ่ง
8) การวัดผลการเรียนการวัดผลการเรียนทำได้โดย การใช้คำถาม การให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด หรือข้อทดสอบวัดผลได้ ทั้งก่อนเรียน ขณะเรียน และเมื่อสิ้นสุดการเรียน เพื่อปรับปรุงแก้ไข ถ้าผู้เรียนไม่เข้าใจ
9) การทำให้ผู้เรียนคงการเรียนรู้และถ่ายโยงการเรียนรู้ได้การเรียนการสอนควรมีการจัดให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติซ้ำๆ จัดให้มีการทบทวน และสร้างสถานการณ์ที่
แปลกใหม่กว่าที่เคยเรียน เพื่อให้ผู้เรียนฝึกการถ่ายโยงความรู้ที่เรียนนั้น เป็นการตรวจสอบว่า ความรู้ที่ผู้เรียนได้เรียนนั้นยังคงอยู่หรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น